Monday, January 29, 2007

สรุป เทคโนโลยี 1G, 2G, 3G

สรุป
G ย่อมาจาก Generation
1G - ระบบ Analog 2G - ระบบ Digital 3G - ระบบ Wireless
ก่อนที่จะเป็น 3G นั้น เทคโนโลยีได้มีพัฒนาเรื่อยมา ...

1 .ยุค 1G เป็นยุคแรกของการพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเซลลูล่าร์ การรับส่งสัญญาณใช้วิธีการผสมสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่องสื่อสารโดยการใช้การแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็กๆ

2.ยุค 2G เป็นยุคที่พัฒนาต่อมาโดยการเข้ารหัสสัญญาณเสียง โดยบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอล ให้มีขนาดจำนวนข้อมูลน้อยลง มีการติดต่อจากสถานีลูกหรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบสใช้วิธีการ 2 แบบคือ TDMA และ CDMA ในยุค นี้จึงเป็นการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์แบบดิจิตอลหมดแล้ว


3.ยุค 3G เป็นยุคแห่งอนาคตอันใกล้ โดยสร้างระบบใหม่ให้รองรับระบบเก่า และเรียกว่า Universal Mobile Telecommunication Systems (UMTS) การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สายมาสามรถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ระบบยังคงใช้การเข้าช่องสัญญาณเป็นแบบ CDMA ซึ่งสามารถบรรจุช่องสัญญาณได้มากกว่าแต่ใช้แบบแถบกว้าง ระบบนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า WCDMA มีแนวโน้มเชื่อมโยงกับระบบอินเตอร์เนตได้อย่างสมบูรณ์

ปัญหาสำคัญของระบบไร้สาย



การที่พัฒนาการของการสื่อสารไร้สายและระบบติดตามตัวยังไปได้ไม่ทันใจ ทั้งนี้เพราะมีอุปสรรคและปัญหาที่สำคัญ ซึ่งเป็นปัญหาหลักสี่ประการคือ

1. ระบบไร้สายใช้อัตราการรับส่งข้อมูลได้ต่ำ
2. ค่าบริการค่อนข้างแพง
3. โมเด็มรับส่งแบบคลื่นวิทยุ ใช้กำลังงานไฟฟ้าสูง
4. ระบบยูสเซอร์อินเตอร์เฟสที่ใช้กับระบบติดตามตัวยังไม่ดี ไม่เหมาะกับการใช้งานขณะเคลื่อนที่


ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ระบบไร้สายในยุค 3G ต้องแก้ไขให้ได้ให้หมด โดยเฉพาะระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ต้องเพิ่มอัตราการรับส่งข้อมูลให้ได้มาก เพื่อจะส่งรูปภาพหรือภาพเคลื่อนไหวได้ ต้องมีอัตราค่าใช้บริการที่ถูกลง และเครื่องที่ใช้ต้องใช้กำลังงานต่ำเพื่อจะใช้ได้นาน ส่วนระบบการเชื่อมต่อในปัจจุบันก็ก้าวมาในรูปแบบ WAP - Wireless Application Protocol หรือที่เรียก ย่อ ๆ ว่า WAP รูปแบบของการเอาชนะปัญหาสี่ข้อเป็นเรื่องที่ท้าทายและจะต้องทำให้ได้ ระบบ 3G ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ได้ตั้งเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว

มาตรฐานของ 3G

มาตรฐาน 3G อยู่ 3มาตรฐาน ได้แก่ WCDMA wideband CDMA (WCDMA), CDMA2000 และ TD-SCDMA ใช้การแบ่งเวลา

1. WCDMA พัฒนามาจาก GSM และ TDMA (Time Division Multiple Access) ซึ่งทำให้ขยายแถบช่องสัญญาณได้ มากและกว้างขึ้น ปัจจุบันแพร่หลายในอเมริกาซึ่งพัฒนาระบบ 2G ไปเป็น EDGE-Enhance Data Rate for GSM ซึ่งเป็นอีกก้าวที่นำไปสู่ 3G คาดว่าระบบ WCDMA นี่จะถูกใช้งานมากที่สุดซึ่งตั้งเป้าหมายไว้แล้วถึง 60 ประเทศเป็นอย่างน้อย

2. CDMA 2000 ปัจจุบันพัฒนาไปถึงระบบ 1x EV-DO เป็นเทคโนโลยีที่มีจุดเด่นทางด้านการส่งข้อมูลความเร็วสูงครอบคลุมพื้นที่กว้าง 1xEV-DO เป็นระบบเดียวกับ CDMA ที่ได้รับการยอมรับจาก สมาพันธ์โทรคมนาคมระหว่างประเทศ ( ITU ) ให้เป็นเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานการสื่อสารไร้สายยุค 3G ข้อดีของระบบนี้คือการใช้งานที่สะดวก ง่ายต่อการติดต่อและสามารถเชื่อมต่อได้หลายรูปแบบทั้ง โทรศัพท์มือถือ PDA Laptop PC โดยสามารถต่อแบบ ไร้สายได้

3. TD-SCDMA (Time Division-Synchronous Code Division Multiple Access) เป็นเครือข่าย CDMA อีกอย่างที่ถูกนำมาใช้เป็นระบบ 3G ที่ได้รับการรับรองโดย ITU ปัจจุบัน TD-SCDMA ถูกพัฒนาและเริ่มทดลองใช้งานแล้วในประเทศจีน

จุดเด่นของ 3G คืออะไร


จุดเด่นของ 3G

จุดเด่นที่สุดของคำว่า 3G คงหนีไม่พ้นความเร็วในการเชื่อมต่อ การติดต่อ และส่งข้อมูลค่ะ เน้นการเชื่อมต่อแบบ wireless (ไร้สาย) ด้วยความเร็วสูง นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในส่งของการรับส่งข้อมูลจากเดิมให้เร็วขึ้น เน้นการติดต่ออย่างสมบูรณ์แบบ อย่างการ call conference, ประชุมทางไกล, การดาวน์โหลดภาพ เสียง clip Video เพลง ภาพยนตร์ หรือApplication ต่างๆ รวมถึงการติดต่อธนาคารทางโทรศัพท์ การโอนเงิน เช็คยอดเงิน ซื้อขายของ หาพิกัด ตรวจสอบเส้นทาง ซึ่งจะทำให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น 3G ทำให้เราสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วฉับไว ย่อโลกในแคบลง เพิ่มความสะดวกสบายให้กับการดำเนินชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักของเทคโนโลยี อีกจุดเด่นของ 3G คือความสมจริง เปรียบเหมือนเป็นการใส่ความรู้สึกข้าไป ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมืออิเลกทรอนิคส์ เช่น ไฟล์เสียงสมจริง (True tone) การแสดงภาพแบบ 3D หรือการติดต่อเชื่อมโยงต่างๆแบบ interactive และหัวใจหลักอย่างการเป็นระบบ Always on ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกับระบบอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่พลาดการติดต่ออีกต่อไปปัจจุบันในเมืองไทยเองก็ก้าวใกล้ความเป็น 3G อยู่พอสมควร หากมองถึงตัวเครื่องโทรศัพท์ โทรศัพท์ที่รองรับในส่วนนี้ก็จะรองรับในการทำอะไรได้หลายๆในเครื่องเดียว อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือหลายๆรุ่นที่สามารถ ถ่ายภาพ ฟังเพลง Mp3 ดู Tv ผ่านเครือข่าย GPRS หรือ EDGE การจัดการข้อมูล (Organizer) การส่งผ่านข้อมูลในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น IrDa Bluetooth Wi-Fi ส่วนในด้านของระบบในเมืองไทย ที่เห้นว่าใกล้เคียงมาตรฐาน 3G ก็คงจะเป็น การเชื่อมต่อผ่าน EDGE ซึ่ง ด้วยความเร็ว 118 K

เพิ่มเติม 3G

เพิ่มเติม

3G นั้น ... ทางฝั่งยุโรปเค้ามีใช้กันไปกันนานแล้ว รวมถึงประเทศญี่ปุ่นหรือเกาหลีนี่เค้าเป็น UMTS ไปนานแล้วเหมือนกัน .. และจะก้าวไปถึงไหนๆแล้วด้วย (ตามไม่ทัน) ส่วนประเทศไทย ก็ยังไปไม่ถึงไหนเลย ... แต่ได้ข่าวมาหลายทีแล้ว ว่าทาง AIS กำลังพัฒนา 3G อยู่ แต่จะเมื่อไหร่นั้น ก็คงต้องติดตามกันต่อไป


3G อาจจะไม่บูมแบบ 2G แต่จะกระโดดไป 4G เลย คือยุคของ IP Phone โดยผ่าน wi-max ที่ทำความเร็วได้ขั้นต่ำ 11Mbs (Max 150Mbs ในปัจจุบัน) ทำให้ส่งข้อมูลได้เร็วกว่า 3G มากๆ การโทรข้ามประเทศมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเพราะเป็น IP วิ่งผ่าน Internet ที่มีอยู่ได้ทันที โดยใช้ VOIP ซึ่งยุค 4G นี้ operator จะลงทุนต่ำกว่าในยุคก่อนๆมาก และ 4G ก็มียักษ์จากวงการ network และ computer หนุนหลังอยู่ 3G จึงอาจตายไวกว่าที่คิด


ความเป็นมาของยุค 3G


3G


ต่อมา ... ก็ได้พัฒนามาเป็นระบบ 3G หรือ Third Generation ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 จุดเด่นที่สุดของ 3G นั้น ... เป็นเรื่องของความเร็วในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมากยิ่งขึ้น เช่น การรับ-ส่ง File ที่มีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ Video/Call Conference , Download เพลง , ดู TV Streaming ต่างๆซึ่งถ้าเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว ... 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลยคุณสมบัติหลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On ... คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย


3G ก็จะเอาข้อดีของ CDMA มาใช้ โดยขยาย bandwidth (spread spectum) ออกเป็น 5 MHz หรือที่เรียกว่า WCDMA (จะใช้ UMTS ก็ได้ คือๆ กัน) โดยมี max อยู่ที่ 2 Mbps (เงื่อนไขคือ ไม่เคลื่อนที+่ อยู่ในตึก +ใช้ picocell +และไม่มีคนอื่นมา share) แต่ average ที่ใช้จริงๆ จะอยู่ที่ 384 kbps CDMA - Code division จัดสรรคลื่นรวมกันไป โดยแบ่ง code ใคร code มัน(ภายใต้ คลื่นความถี่เดียวกัน) เหมือนกับในห้องประชุม ผู้ร่วมประชุมต่างชาติ ต่างภาษา คุยกันมากมาย แต่ชาติเดียวกันภาษาเดียวกัน ก็จะคุยกันรู้เรื่อง speed การใช้งานจะอยู่ประมาณ 151 kbps (มั้งจำไม่ค่อยได้ครับ) โดยข้อดีของ CDMA อื่นเรื่องคือการ hand-off จะทำได้ดีกว่า GSM มาก (hand-off คือการส่งไปให้ cell site อื่นรับงานต่อ กรณีเราเคลื่อนที่อยู่) โดยฝั่ง CDMA พอปรับมาเป็น 3G ก็จะมาเป็น CDMA 2000-1x, CDMA 2000-1x EVDV และ EDVO ครับ (ยังไม่รวม 3x-RTT ด้วย)





*****คุณสมบัติหลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On ... คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย*****


ความเป็นมาของยุค 2.75 G

2.75G


เพิ่มนิดนึง... ก่อนจะมาถึงยุค 3G เราก็ยังมี 2.75G ด้วยนะ ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) นั่นเองEDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) ลักษณะการทำงานของ EDGE นั้นจะเป็นการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRS ให้มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้สูงขึ้น


**แต่ว่า ยุค 2.75G ของ EDGE นั้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการนะเพียงแค่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 2.5G และ 3G เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น**